“NFCT” เดินหน้าเต็มพิกัด! เปิดคลังน้ำมันมูลค่า 2.57 พันลบ.จ่อคิวบุ๊ครายได้ทันทีไตรมาส4/65
บริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด (NFCT) บริษัทย่อยของบมจ.เอ็นเอฟซี (NFC) ประกาศฤกษ์ดีพร้อมเปิดให้บริการคลังน้ำมันเชื้อเพลิง และท่อส่งน้ำมันโครงการ "NFCT Fuel Tank Farm Project " มูลค่า2,570 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.นี้ พร้อมมุ่งกระจายสู่เขตเศรษฐกิจEEC ช่วยสร้างความแข็งแกร่งเครือข่ายจัดส่งน้ำมันระดับภูมิภาคอาเซียน และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของไทย รวมทั้งสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายของภาครัฐ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในฐานะประธานในพิธีการเปิดคลังน้ำมันเชื้อเพลิง (NFCT Fuel Tank Farm Project) ของ บริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด เปิดเผยว่า ต้องขอแสดงความชื่นชมในความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งการที่บริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด เข้ามามีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการลงทุนตามนโยบายภาครัฐในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( EEC) เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายน้ำมันของประเทศ และตอบสนองนโยบายภาครัฐต่อไปในอนาคต
สำหรับโครงการคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิง (NFCT Fuel Tank Farm Project) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 43 ไร่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการ กำกับดูแลของกนอ.โดยนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นพื้นที่หนึ่งในแผนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้นส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการลงทุนโดยเฉพาะในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สมบูรณ์ ทั้งบนบก ได้แก่ ระบบถนน ระบบราง ในน้ำ ได้แก่ การขนส่งทางเรือ และทางอากาศ โดยเครื่องบิน โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงกรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีแหลมฉบัง พัทยา สัตหีบ อู่ตะเภา มาบตาพุด และระยองเข้าด้วยกัน ตลอดจนเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาค ด้วย ทำให้เชื่อมั่นว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและเปิดโอกาสให้มีการค้าน้ำมันในระดับภูมิภาค และเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคต่อไปในอนาคต ทั้งยังจะช่วยส่งเสริมนโยบายต่างๆของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้โครงการฯ จะประกอบไปด้วย คลังน้ำมัน และถังจัดเก็บน้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน จำนวน 6 ถัง ขนาดความจุรวม 90 ล้านลิตร เพื่อใช้รองรับน้ำมันที่ขนถ่ายมาจากเรือขนน้ำมันนำเข้าขนาดกลาง (medium range) ก่อนที่จะขนสูบผ่าน 2 ทาง คือ ผ่านท่อขนส่งน้ำมันเข้าสู่ระบบท่อส่งน้ำมันของผู้ประกอบการขนส่งน้ำมันทางท่อ และเข้าสู่เรือขนส่งน้ำมันขนาด 2,000-3,000 DWT โดยมูลค่ารวมของโครงการฯ อยู่ที่ประมาณ 2,570 ล้านบาท หรือ 83 ล้านเหรียญสหรัฐ
“โครงการนี้จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนด้านพลังงาน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับภูมิภาค รองรับความต้องการเชื้อเพลิงของภาคการขนส่งและคมนาคม และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายด้านต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของประเทศได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายน้ำมันของประเทศ และตอบสนองนโยบายภาครัฐต่อไปในอนาคต ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง”
นายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการและกรรมการบริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าโครงการคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมัน โดย บริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด เป็นโครงการที่เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่มีศักยภาพในการรองรับความต้องการในการเก็บและจัดส่งน้ำมันของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เชลล์ เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย และจะสามารถส่งเสริมนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ตลอดจนสนับสนุนนโยบายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาครัฐที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ซึ่งหวังว่าโครงการคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมันนี้ จะบรรลุวัตถุประสงค์โครงการ ตลอดจนช่วยยกระดับอุตสาหกรรม กระตุ้นเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมยิ่งขึ้นไป
นายณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็นเอฟซีจำกัด (มหาชน) หรือ NFC กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการลงทุนเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าเหลวของกลุ่มเอ็นเอฟซี เพื่อสนับสนุนรายได้ใก้แก่ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯตลอดจนเพิ่มความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพและส่งผลให้ธุรกิจในภูมิภาคเติบโตมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนด้านพลังงาน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับภูมิภาค รองรับความต้องการเชื้อเพลิงของภาคการขนส่งและคมนาคม และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐด้านต่างๆ และยังมีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการลดการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากการขนส่งทางท่อทำให้ลดปริมาณการขนส่งทางรถยนต์ ซึ่งจะมีส่วนทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง
“เอ็นเอฟซีที มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในโครงการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิง และบริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยโครงการดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าเหลว ของกลุ่มบริษัทเอ็นเอฟซี เพื่อสนับสนุนรายได้ให้แก่ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงของการลงทุน บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพและส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวเข้ามาในไตรมาส 4/2565 ”